เหลือเชื่อ !! ใครเป็นผู้พยากรณ์ที่แม่นยำของรัชกาลที่ 11 และในหลวงรัชกาลที่ 12

Author:

ก็ขนรุกคําทํานายรัชกาลที่11และ12คือผู้ใดได้ครองราชย์ของหวงในรัชกาลที่1ในการบริหารราชการแผ่นดินตั้งแต่สมัยโบราณอาการพระมหากษัตริย์จะมีขนประจำพระองค์เพื่อทำนายดวงชะตาบ้านเมืองว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคตไว้ดูฤกษ์ยามเพื่อทำศึกสงครามรวมทั้งทำนายดวงชะตาของพระองค์เองและบุคคลใกล้ชิดซึ่งโหรถือว่ามีอิทธิพลต่อการประกอบการตัดสินใจในชีวิตประจำวันและการบริหารบ้านเมืองของพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมากดังเช่นโหราธิบดีหลวงในรัชกาลสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชในรัชกาลที่1ที่ได้ทำนายถึงดวงชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์เอาไว้ก็น่าสนใจ

โดยมีการทำนาย12ยกหรือ12ราชการโดยมีเนื้อหาใจความดังนี้โดยมีเนื้อความว่าในรัชกาลที่๑สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชวันหนึ่งเวลายินขนาดที่ท่านประทับอยู่ณตำหนักท่านได้ผลัดต่อพระหัวซาว่าฉันจะให้ท่านพยากรณ์โชคชะตาของกรุงรัตนโกสินทร์ว่าต่อไปเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไรพระโหราจึงกราบทูลว่าพระอาญาไม่พ้นเกล้าการถวายคำพยากรณ์โชคชะตาของกลุ่มรัตนโกสินทร์เป็นเรื่องสำคัญจำจะต้องตรวจการพยากรณ์ด้วยความระมัดระวังต้องใช้ระยะเวลาถึง3วันจึงจะกลับทูลถวายคำพยากรณ์ได้แล้วท่านโหราธิบดีได้จดวันเวลาเดือนปี

ของวันที่ลงหลักเมืองกรุงติดตามที่พระพุทธยอดฟ้ารับสั่งแล้วจึงกราบทูลลากลับไปพอครบ3วันพระโหราลาจึงมาเฝ้าตามที่นัดเอาไว้และได้ถวายคำพยากรณ์12ยก12ราชการดังนี้รัชกาลที่1ชื่อว่ามหากาพย์รัชกาลของพระองค์นี้มืดมากพระองค์ไม่รู้จะดำเนินรับประสาทนโยบายไปในทางไหนดีเพราะเป็นระยะเริ่มก่อสร้างกรุงรัชกาลที่2ชื่อว่าผ่านยักษ์ผู้ที่รับมอบสืบทอดราชสมบัติต่อจากพระองค์จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่อ่อนแอไม่มีความสามารถในการปกครองรัชกาลที่3ชื่อว่ารักนิดจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงโปรดที่จะทำสัญญาผูก

สัมพันธไมตรีกับต่างประเทศอย่างมากเหรียญรัชกาลที่4ชื่อว่าสนิททำจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงพอพระทัยฝากใส่ในทางธรรมและพระพุทธศาสนาอย่างมากรัชกาลที่5ชื่อว่าจำแขนขาดจะมีการเสียดินแดนให้แก่ต่างประเทศเรียกความจำใจเหรียญรัชกาลที่6ชื่อว่าราดจอรันจะมีพระราชาที่เปรียบเสมือนโจรคือพระเจ้าแผ่นดินที่จับจ่ายใช้สอยทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มากรัชกาลที่7ชื่อว่าคันทุกเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มารับเคราะห์หนักตลอดราชสมัยผู้คนพลเมืองต้องประสบกับภาวะเข้ายากหมากแพงผู้คนอดอยากแร้นแค้นด้วยสภาวะเศรษฐกิจ

หลังสงครามโลกครั้งที่1และผลสืบเนื่องมาจากการฟุ้งเฟ้อในราชการกรมีการปลดข้าราชการออกเพราะไม่มีเงินเบี้ยหวัดเงินปีให้เป็นสมัยที่เริ่มให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงร้องทุกข์แสดงความคิดเห็นจนกระทั่งมีการกระทำที่รุนแรงจึงขั้นปฏิวัติยึดอำนาจให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์มาเป็นประชาธิปไตยดีที่สุดพระองค์ทรงสละราชสมบัติและเสด็จไปสวรรคตณต่างประเทศรัชกาลที่8ชื่อว่ายุคทมิฬยุคที่มีเรื่องเลวร้ายหลายประการเช่นสงครามโลกการเสียชีวิตของรอ8และการกรองอำนาจโดยเผด็จการทหารที่ต่อเนื่องไปจนถึงต้นยุค

รัชกาลที่9จนเกิดกรณี14ตุลาคม2516และ16ตุลาคม2519ประชาชาติจะต้องเสียสละทรัพย์สมบัติและเลือดเนื้อเพื่อรักษาไว้ของคนส่วนใหญ่อันเป็นที่รักรัชกาลที่9ชื่อว่าชินสกาวผู้ที่สืบสันตติวงศ์ราชสมบัติต่อมาจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีบุญญาธิการประเทศเจริญรุ่งเรืองได้รับอริยธรรมตะวันตกมามากวิทยาการตะวันตกเครื่องปูทั่วประเทศไทยรวมทั้งมีการติดต่อกับชาวต่างชาติอย่างกว้างขวางรัชกาลที่10ชื่อว่าชาวศรีวิไลประชาชนพลเมืองจะถึงซึ่งอริยธรรมอันแท้จริงในยุคนี้ประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งทั้งทางวิทยาการเศรษฐกิจและจริยธรรม

พวกมิจฉาทิฎฐิและอาจทำจะเสื่อมสิ้นไปหากไม่ตายด้วยคมหอกคมดาบก็จะต้องตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บเพราะเป็นยุคของอริยะชนที่มีจิตใจเป็นธรรมเท่านั้นยกที่11ชื่อว่าไทยมหารัฐประเทศจะเป็นมหาอำนาจในยุคนี้ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของนานาชาติทางด้านสันติภาพนานาชาติต่างมาเจรจาสันติภาพสงบสืบการรบที่เมืองไทยจะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลกมีเทคโนโลยีทางการนายแพทย์เจริญที่สุดในโลกและเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของโลกโดยจะบังเกิดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่เกิดขึ้นผู้คนจะหลั่งไหลมาที่นี่เพื่อชื่นชมสิ่งนี้ไทยจะเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธของ

โลกยุคที่12ชื่อว่าจักรพรรดิราชพระเจ้าแผ่นดินจะเป็นถึงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิในยุคนี้พระราชาองค์นี้จะมีบารมีพิเศษเสด็จจุติมาจากสวรรคาลัยชั้นดุสิตเขตบรมโพธิสัตว์ทรงมีบารมีมากกว่าผู้นำประเทศคนใดๆในโลกในตอนนั้นประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจทางวัฒนธรรมนานาชาติจากให้ความเคารพยำเกรงยิ่งกว่าประเทศที่มีอาวุธส่งพารารูปภาพภาษาไทยจะเป็นภาษากลางของโลกแต่ในทางวิชาการและทางตำราให้เหตุผลการสนับสนุนการมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐน่าจะดีกว่าประธานาธิบดีไว้ว่า1การมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขย่อมก่อให้เกิดความจงรักภักดีขึ้นในบรรดา

ประชาชนทำให้ประชาชนสมัครสมานสามัคคีกันเพราะรู้สึกว่าอยู่ใต้พระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน2พระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางในทางการเมืองอันต่างกับประมุขของรัฐแบบอื่นๆซึ่งต้องกลัวกลัวตัวอยู่กับการเมืองเพราะต้องคอยภาวะพะวงเรื่องคะแนนเสียงที่ตนจะได้รับในการเลือกตั้งในขณะที่พระมหากษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์ตามกฎหมายโดยไม่ต้องเลือกตั้งและเป็นประมุขถาวรจึงไม่ต้องเอาใจบุคคลหนึ่งหรือคณะ1คณะใดเพราะหวังในการเลือกตั้งคราวหน้าทำให้ทรงวางพระองค์เป็นกลางทางการเมืองได้ดีที่3พระมหากษัตริย์ย่อมทรงเป็นประมุขตลอดพระชนม์ชีพ

ซึ่งเป็นประมุขถาวรจึงทรงมีความชัดเจนในราชการแผ่นดินมากกว่าบุคคลธรรมดาที่เป็นพัฒนาธิบดีซึ่งถูกเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งชั่วระยะเวลาหนึ่งรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่มีการผลัดเปลี่ยนกันหลายชุดพระมหากษัตริย์จึงทรงอยู่ในฐานะที่พระราชทานคำแนะนำให้แก่คณะรัฐมนตรีได้ดีโดยอาศัยความจัดเจนที่เคยประสบมามาในรัชสมัยของพระองค์๔พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาแห่งเกียรติศักดิ์สัตว์กล่าวคือด้วยการที่ทรงมีพระราชกุศลสูงและทรงสืบราชสันตติวงศ์โดยไม่ทรงเกลือกกลั้วกับการเมืองทำให้ทรงเป็นที่มาของเกียรติศักดิ์ทั้งในสังคมแห่งนั้นและสังคมนานาชาติทั้งประสงค์ให้

กรและนักการเมืองตลอดจนรัฐต่างประเทศยอมที่ตั้งใจและศรัทธาในพระองค์5การมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นเครื่องกีดกั้นความมักใหญ่ใฝ่สูงของนักการเมืองซึ่งอาจมีความกระหายอยากเป็นประมุขของรัฐโดยวิธีผิดรัฐธรรมนูญ๖พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมแห่งความเป็นชาติศูนย์รวมน้ำใจของคนทั้งชาติและความสามัคคีของคนในชาติในขณะที่นักการเมืองอื่นๆไม่อาจจะกระทำได้เพราะถ้ามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีความคิดขัดแย้งในทางการเมืองได้แม้แต่การมีพระมหากษัตริย์อาจมีผลเสียท่าได้พระมหากษัตริย์ที่โง่เขาปัญญาเพราะ

ราชทายาทที่รับตำแหน่งสืบทอดโดยการสืบสันตติวงศ์ไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอเมื่อส่งของราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็อาจจะเข้าเกือบกลัวกับการเมืองหรือลูกแกะพระราชอำนาจใช้อำนาจเกินสมควรได้แต่กรณีนี้รัฐธรรมนูญได้กำหนดทางแก้ไขแล้วคือในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงเมื่อรัชทายาทเป็นเช่นนั้นรัฐบาลอาจไม่ให้ความเห็นชอบแก่ผู้สืบราชสันตติวงศ์เป็นพระองค์ไปก็ได้หรือแม้จะสืบราชสมบัติไปแล้วเป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็อาจจะเข้าเกือบกลัวกับการเมืองหรือลูกแกะพระราชอำนาจก็ดีพลังทางสังคมรุกคําทํานายรัชกาลที่11